Article

B'Protein Plus

สาระสุขภาพ

โยเกิร์ต อาหารเพื่อสุขภาพที่ใครๆ ก็ทานได้
24 ตุลาคม 2567

โยเกิร์ต อาหารเพื่อสุขภาพที่ใครๆ ก็ทานได้

ประโยชน์ของโยเกิร์ต ที่คุณจะได้รับมากกว่าการดื่มนม


ประโยชน์โยเกิร์ต นั้นเรียกได้ว่ามีเยอะจนนับไม่ถ้วน เพราะโยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์นมหมักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย นอกจากรสชาติที่อร่อยและหลากหลายแล้ว โยเกิร์ตยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด

ประโยชน์ของโยเกิร์ตสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายด้าน ดังนี้

1. ช่วยย่อยอาหาร: โยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ (probiotics) ช่วยในการย่อยอาหารและรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดปัญหาท้องผูกและปัญหาท้องเสีย
2. เสริมสร้างกระดูกและฟัน: โยเกิร์ตเป็นแหล่งของแคลเซียมที่สำคัญ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
3. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน: โปรไบโอติกในโยเกิร์ตสามารถเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
4. ช่วยลดน้ำหนัก: โยเกิร์ตที่มีโปรตีนสูงและแคลอรีต่ำสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้ เพราะโปรตีนในโยเกิร์ตช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหาร
5. ดีต่อสุขภาพหัวใจ: โยเกิร์ตที่มีไขมันต่ำสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
6. มีโปรตีนสูง: โยเกิร์ตเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม
7. ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: โยเกิร์ตที่มีไขมันต่ำและไม่มีน้ำตาลเติม สามารถช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน

โยเกิร์ตกินทุกวันได้ไหม? มีผลเสียหรือเปล่า


แน่นอนว่าการกินโยเกิร์ตทุกวันสามารถทำได้และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลายประการ อย่างไรก็ตาม การเลือกประเภทของโยเกิร์ตและการบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการกินโยเกิร์ตทุกวัน


แม้ว่าโยเกิร์ตจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการ เช่น
1. ปริมาณน้ำตาลสูง: โยเกิร์ตบางประเภท โดยเฉพาะโยเกิร์ตผลไม้หรือโยเกิร์ตที่มีรสชาติ อาจมีปริมาณน้ำตาลสูง การบริโภคโยเกิร์ตที่มีน้ำตาลเพิ่มมากเกินไปสามารถนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักและความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
2. แพ้นม: บางคนอาจแพ้นมวัวหรือมีอาการแพ้แลคโตส (lactose intolerance) การบริโภคโยเกิร์ตอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือไม่สบายท้อง
3. ปริมาณแคลอรี: การบริโภคโยเกิร์ตที่มีไขมันสูงหรือโยเกิร์ตที่มีส่วนผสมเพิ่มเติมเช่น เมล็ดถั่ว ช็อกโกแลต หรือคาราเมล อาจทำให้ได้รับแคลอรีมากเกินไป

กินโยเกิร์ตเวลาไหนดีที่สุด แต่ละเวลามีข้อดีอย่างไร?

การกินโยเกิร์ตในแต่ละเวลาของวันสามารถให้ประโยชน์ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความต้องการของร่างกาย ดังนี้:

1. กินโยเกิร์ตในตอนเช้า
ข้อดี:
* เป็นอาหารเช้าที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูง ช่วยเสริมพลังงานให้กับร่างกายได้ดี
* จุลินทรีย์โปรไบโอติกในโยเกิร์ตช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารในช่วงเช้า
* หากทานคู่กับผลไม้หรือธัญพืช จะเพิ่มใยอาหารที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
2. กินโยเกิร์ตระหว่างมื้ออาหาร
ข้อดี:
* ช่วยควบคุมความหิวและลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
* หากทานเป็นของว่าง สามารถช่วยลดการกินอาหารที่มีแคลอรีสูงได้
3. กินโยเกิร์ตหลังออกกำลังกาย
ข้อดี:
* โปรตีนในโยเกิร์ตช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย
* มีคาร์โบไฮเดรตที่ช่วยเติมพลังงานให้กับร่างกายหลังการเผาผลาญพลังงาน
4. กินโยเกิร์ตในช่วงบ่าย
ข้อดี:
* ช่วยเพิ่มพลังงานและทำให้รู้สึกสดชื่นในช่วงที่อ่อนเพลียกลางวัน
* เป็นของว่างที่มีประโยชน์และไม่เพิ่มแคลอรีมากเกินไป
5. กินโยเกิร์ตก่อนนอน
ข้อดี:
* โยเกิร์ตเป็นแหล่งของโปรตีนและแคลเซียม ซึ่งช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและช่วยเสริมการนอนหลับให้ดีขึ้น
* โปรไบโอติกในโยเกิร์ตช่วยในกระบวนการย่อยอาหารระหว่างที่นอนหลับ

สรุป:

* ตอนเช้า เหมาะสำหรับการเริ่มต้นวันด้วยพลังงานที่เพียงพอและช่วยย่อยอาหาร
* ระหว่างมื้อ ช่วยลดความอยากอาหารและรักษาสมดุลพลังงาน
* หลังออกกำลังกาย ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและฟื้นฟูร่างกาย
* ก่อนนอน ช่วยในเรื่องการนอนหลับและส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร


การเลือกเวลาที่จะกินโยเกิร์ตให้ตรงความต้องการของเราจะทำให้เราได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด
"Want to up your nutrition game? Start with this handy list of easy-to-eat options."
B'Protein Plus

สาระสุขภาพ